ฤดูแห่งเทศกาล Pride ใกล้จะมาถึงแล้วในหลาย ๆ ส่วนของโลก ดังนั้นก็ลองดูจุดหมายที่น่าดึงดูดใจที่สุดสำหรับผู้เดินทาง LGBTQ+ ซึ่งเราได้คัดสรรมาให้ จากนั้นก็เลือกสถานที่สักแห่งที่เราแนะนำเพื่อไปใช้ชีวิตที่นั่นได้เลย ที่พักทุกแห่งในบทความนี้เป็นที่พักที่ได้ใบรับรอง Proud Certified เพราะฉะนั้นคุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นพิเศษ ไม่ว่าคุณจะรักใครหรือระบุตัวตนว่าเป็นอย่างไรก็ตาม
จะหาว่าเราลำเอียงก็ได้ แต่เราคิดว่าเมืองที่เป็นบ้านเกิดของเราอย่างอัมสเตอร์ดัมนั้นเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมทีเดียวสำหรับ LGBTQ+ ผู้คนในวงกว้างต่างยกให้เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ มากที่สุดในโลก นอกจากนี้ในปี 2000 เนเธอร์แลนด์ยังเป็นประเทศแรกที่ทำให้การสมรสระหว่างเพศเดียวกันถูกกฎหมาย และเมืองหลวงที่เปิดกว้างทางความคิดของประเทศนี้ก็ยังคงเป็นผู้นำในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องด้วยทัศนคติที่สนับสนุนให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง
อนุสรณ์สถาน Homomonument รูปสามเหลี่ยมสีชมพูที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเป็นเครื่องย้ำเตือนให้ระลึกถึงชาว LGBTQ+ ที่ถูกข่มเหง และศูนย์ข้อมูล Pink Point ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ กันก็คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางในเมืองสำหรับ LGBTQ+ จากจุดดังกล่าวคุณสามารถไปท่องราตรีตามสถานที่ต่าง ๆ อย่าง Bar Blend และ SOHO บนถนน Reguliersdwarsstraat หรือ PRIK บนถนน Spuistraat ที่อยู่ใกล้เคียงได้ หลังจากที่ได้เที่ยวชมคลองต่าง ๆ เดินเล่นไปบนถนนในย่าน Jordaan และอาจแวะที่พิพิธภัณฑ์ Rijksmuseum มาแล้ว หากมาเที่ยวในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะไปปาร์ตี้ที่ไหนดี เพราะคุณจะได้พบกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาของเทศกาล Amsterdam Pride อยู่ทั่วทุกมุมเมือง
หลังจากนั้น ลองไปสัมผัสความหรูหราฟู่ฟ่าของ Waldorf Astoria Amsterdam ที่ตั้งอยู่ริมน้ำในย่าน Canal Ring ซึ่งเป็นย่านที่ UNESCO ยกให้เป็นมรดกโลก หรือหากต้องการอะไรที่โอ่อ่าน้อยลงสักหน่อย ก็สามารถไปพักกายที่ 23 SouS บ้านที่งดงามตามแบบฉบับของอัมสเตอร์ดัมยุคศตวรรษที่ 18
ถนน Canal Street ตั้งอยู่ใจกลางย่าน LGBTQ+ ที่เฟื่องฟูของแมนเชสเตอร์ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “The Village” แรกเริ่มนั้นย่านนี้ถือกำเนิดขึ้นจากความเสื่อมโทรมของซากอุตสาหกรรมที่หลงเหลืออยู่ในย่านใจกลางเมือง และทุกวันนี้ผู้เดินทาง LGBTQ+ ก็มั่นใจได้แทบจะแน่นอนว่าจะได้รับการต้อนรับที่เป็นมิตรและได้สนุกอย่างเต็มที่ที่นี่ ไม่ว่าจะมาเยือนในระหว่างการฉลองเทศกาล Pride ของเมืองช่วงปลายเดือนสิงหาคม หรือในช่วงอื่น ๆ ของปี
นอกจากนี้ทัศนคติแบบหัวก้าวหน้าของแมนเชสเตอร์ยังไม่ได้สิ้นสุดแค่การต้อนรับผู้เดินทาง LGBTQ+ อย่างอบอุ่นเท่านั้น ลองหาเวลาสำรวจพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเพื่อดูว่าเมืองแห่งนี้ได้ผสมผสานประวัติศาสตร์และความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างไร จากนั้นก็ลองไปพักค้างคืนที่ Kimpton Clocktower อันโอ่อ่าน่าประทับใจในสถาปัตยกรรมยุควิกตอเรียน
ซานฟรานซิสโกเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของ LGBTQ+ ในอเมริกา ทั้งยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากร LGBTQ+ อาศัยอยู่จำนวนมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมักได้รับการขนานนามว่าเมืองหลวงเกย์ของโลก อันที่จริงแล้วธงสีรุ้งได้โบกสะบัดเป็นครั้งแรกที่นี่ในขบวนพาเหรด San Francisco Gay Freedom Day เมื่อปี 1978
ทุกวันนี้ย่าน Castro District ยังคงเป็นส่วนสำคัญของชีวิต LGBTQ+ ในซานฟรานซิสโก แวะไปเยือนพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ GLBT เพื่อเรียนรู้แบบเร่งรัดเกี่ยวกับการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความเท่าเทียมของ LGBTQ+ ในเมืองนี้และทั้งสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็หาอะไรดื่มสักแก้วที่ Twin Peaks Tavern ซึ่งเป็นบาร์เกย์แห่งแรกของประเทศ โดยหน้าต่างของบาร์แห่งนี้สื่อความหมายว่าลูกค้าของที่ร้านไม่ต้องหลบซ่อนตัวตนจากโลกภายนอกอีกต่อไป
และหากคุณอยู่ที่เมืองนี้เพื่อฉลองเทศกาล Pride ของซานฟรานซิสโกช่วงปลายเดือนมิถุนายน ก็ให้มองหาสามเหลี่ยมสีชมพูที่ปรากฏอยู่บนเนินเขา Twin Peaks สูงขึ้นไปเหนือเมือง สัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมนี้ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 25 ปีก่อน โดยเป็นวิธีที่ทำให้ Pride สามารถมองเห็นได้จากทั่วทั้งซานฟรานซิสโก ความมีศิลปะสุดเก๋ไก๋แบบเดียวกันนี้ยังเห็นได้ที่ citizenM San Francisco Union Square ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเอนกายหลับสบายหลังจากออกสำรวจมาแล้วทั้งวัน
ซิดนีย์เป็นหนึ่งในเมืองที่เป็นมิตรสำหรับผู้เดินทาง LGBTQ+ ที่สุดในโลก ไม่ใช่แค่ในออสเตรเลียเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมุ่งหน้าไปออสเตรเลียระหว่างเทศกาลมาดิกราส์สุดตื่นตาตื่นใจช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งจัดขึ้นในซิดนีย์มาตั้งแต่ปี 1978 คุณก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ความรักสนุก และความเปิดกว้างทางความคิดอยู่ทุกหนแห่ง
ถนน Oxford Street ในย่าน Darlinghurst เริ่มสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะที่เป็นหัวใจสำคัญของ LGBTQ+ ในซิดนีย์นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 และทุกวันนี้ย่านนี้ก็ยังคงมีคาเฟ่ ร้านอาหาร บาร์ค็อกเทล และไนท์คลับเรียงรายอยู่แน่นขนัด หลังจากปาร์ตี้มาทั้งคืนแล้ว ก็ให้รางวัลตัวเองด้วยการสัมผัสประสบการณ์แบบเซเลบริตี้พร้อมชมวิวอ่าวที่ The Darling at The Star ที่พักระดับ 5 ดาวที่ขับรถเพียง 15 นาทีก็จะถึงสนามบิน
โตรอนโตคือเมืองหลวง LGBTQ+ ที่มีความหลากหลายและเปิดกว้างทางความคิดของแคนาดา ทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายทำ Queer as Folk ซีรีส์จากต้นยุค 2000 ที่นี่ยังเป็นเมืองที่มีประชากร LGBTQ+ อาศัยอยู่จำนวนมากที่สุดของประเทศ มีประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของ LGBTQ+ ซึ่งเริ่มต้นในทศวรรษ 1970 และศูนย์กลางอันโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ นั้นก็ไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว แต่เรียกได้ว่ามีถึง 3 แห่งด้วยกัน อันได้แก่ Church and Wellesley, Queen West และ Cabbagetown (ซึ่งว่ากันว่าแรกเริ่มนั้นได้ชื่อมาจากกะหล่ำปลีที่ผู้ย้ายถิ่นฐานมาใหม่จากไอร์แลนด์ปลูกไว้ในสวนหน้าบ้าน)
ไฮไลท์ของย่านหลัก Church and Wellesley คือร้าน Woody’s (เปิดกิจการมาแล้วกว่า 30 ปี) และร้าน Glad Day ซึ่งเป็นร้านหนังสือ LGBTQ+ ที่ดำเนินกิจการมายาวนานที่สุดในอเมริกาเหนือ ช่วงปลายเดือนมิถุนายนคือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับไปเยือนโตรอนโต ไม่เพียงเพื่อไปสัมผัสอากาศที่อุณหภูมิกำลังสบายในหน้าร้อนเท่านั้น แต่เพื่อไปร่วมเทศกาล Pride ที่จัดยาวไปทั้งเดือนอีกด้วย ซึ่งจะปิดท้ายด้วยขบวนพาเหรดขนาดใหญ่และสุดสัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลอง ขอแนะนำให้พักที่ Gladstone House อันโอ่อ่าน่าประทับใจซึ่งอยู่ใกล้กับย่าน Queen West ที่พักนี้เป็นการผสมผสานระหว่างผนังอิฐเปลือยที่แฝงความขี้เล่นสนุกสนานในห้องนอนกับองค์ประกอบแบบคลาสสิกที่ได้รับการบูรณะอย่างลิฟต์กระจกโบราณที่โดดเด่นสะดุดตา